อย่างไรก็ตาม รายการนี้ก็ยังถือเป็นศึก ‘แชมป์ชนแชมป์’ เนื่องจากการจะมาเล่นรายการนี้ก็ไม่ได้ง่ายนัก เพราะต้องได้แชมป์ลีกสูงสุดและแชมป์ เอฟเอ เท่านั้น หรืออาจจะมีบางครั้งบางคราวที่ทะลึ่งได้ ‘ดับเบิ้ลแชมป์’ ขึ้นมา สิทธิ์เลยตกมาอยู่กับทีมอันดับ 2 ของ พรีเมียร์ลีก จากในฤดูกาลก่อน

และในฤดูกาลนี้ ก็เป็นคิวของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีดีกรีคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน จะต้องพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์บอลถ้วยเก่าแก่มาได้ แน่นอนว่าศักดิ์ศรีการเป็นคู่แข่งร่วมเมืองนั้นค้ำคออยู่ ยอมกันง่าย ๆ ไม่ได้แน่นอน

ด้วยการที่เป็นแชมป์ลีก 4 ฤดูกาลติดต่อกัน ย่อมทำให้ แมนฯ ซิตี้ ได้เข้ามาเล่นในรายการเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันด้วยเช่นกัน ซึ่งในระยะหลัง พวกเขาก็เป็นขาประจำจากการที่เข้ามาเล่นถึง 5 จาก 6 ฤดูกาลหลังสุด

แต่… แต่… แต่… พวกเขากลับคว้าแชมป์มาได้เพียง 2 จาก 5 ครั้งที่ว่าเองนะครับ ซึ่งก็คือในปี 2018 และ 2019 โดยที่ 3 ปีล่าสุด พวกเขาแพ้รวดให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล

ส่วนคู่ต่อกรของพวกเขาอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด นี่เรียกได้ว่าหายหน้าหายตาไปนานพอควรเลยทีเดียว โดยหนล่าสุดต้องย้อนกลับไปในปี 2016 ซึ่งเป็นยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ มารับช่วงต่อจาก หลุยส์ ฟาน กัล ที่โดนถีบกระเด็ดจากเก้าอี้กุนซือ แม้ว่าจะเพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ มาได้สด ๆ ร้อน ๆ ก็ตาม

ถึงแม้จะว่างเว้นจาก คอมมูนิตี้ ชิลด์ ไปนาน แต่ ‘ปีศาจแดง’ ก็ยังคงเป็นเจ้าแห่งรายการนี้อยู่ดี ด้วยการคว้า ‘ถาดเงิน’ มาชูได้ถึง 21 หน ซึ่งต่างจาก ‘เรือใบสีฟ้า’ ที่เคยได้ลูบคลำเพียงแค่ 6 ครั้งเท่านั้น

เอาล่ะครับ… มาพูดถึงเกมที่จะมีขึ้นในวันเสาร์นี้กันหน่อยละกัน

ฟอร์มการอุ่นเครื่องของทั้ง 2 ทีมนี่แย่พอ ๆ กันเลย โดยทางฟากของ เอริก เทน ฮาก พาทีมไปวอร์มทั้งในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา รวม 5 เกมและแพ้ไปถึง 3 เกมด้วยกัน ซึ่งที่โดดเด่นก็คือเกมล่าสุดที่แพ้ในเกม ‘แดงเดือด’ นอกรอบแบบหมดสภาพ

ส่วนทางด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ไม่น้อยหน้า ลัดฟ้าไปแดน ‘ลุงแซม’ เช่นกันและแพ้ไปถึง 3 จาก 4 เกม ที่สำคัญคือเสียประตูเละเทะทุกเกมเลย

แน่นอนว่าทั้ง 2 ทีมต่างก็มีปัจจัยในเรื่องของตัวผู้เล่นที่ได้วันหยุดเพิ่มเติมจากการที่ไปรับใช้ทีมชาติ ทั้งในศึก ยูโร และ โคปา อเมริกา แล้วดันฟอร์มดี ได้เข้ารอบลึก ๆ โดยทางด้านของ ‘ผีแดง’ ก็เพิ่งได้ บรูโน่ แฟร์นันเดส, ดิโอโก้ ดาโลต์ และ อเลฮานโดร การ์นาโช่ กลับมาซ้อม และทาง ‘เรือใบ’ ก็ได้ตัวของ เควิน เดอ บรอยน์, เจเรมี่ โดกู, รูเบน ดิอาส, แบร์นาโด้ ซิลวา, มาเธอุส นูเนส, นาธาน อาเก้ และ มานูเอล อาคันจี ในช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้วเอง

ซึ่งนักเตะที่กล่าวมาทั้งหมดก็ไม่รู้จะได้เห็นกันบนสนามในคืนวันเสาร์นี้หรือไม่ และเชื่อว่าอาจจะได้เห็นดาวรุ่งบางรายที่ได้โอกาสโลดแล่นในเกมนี้อย่างแน่นอน แต่ก็เชื่ออีกแหละว่า มันไม่ได้ทำให้ความสนุกและความเดือดลดลงไปอย่างแน่นอน

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรหรือทีมไหนจะเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปได้ ก็คงเป็นอีกเพียง 1 เกมเพื่อลองของก่อนที่จะขึ้นเวทีจริงที่จะมีขึ้นในอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้าอย่าง พรีเมียร์ลีก และต้องโม่แข้งกันถึง 38 เกมเพื่อวัดกัน แล้วจนกว่าจะถึงเวลานั้น ก็ต้องรอดูกันแหละครับว่า เป๊ป จะรักษาแชมป์ไว้ได้อีกปี หรือ เทน ฮาก จะพาทีมก้าวขึ้นลุ้นแชมป์ได้เหมือนกับทีมอื่นได้หรือเปล่า

เขียนโดย The Lite Team.

LS Sport ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชม.